จากบทสรุปของไตรภาค Homecoming เป็นความพยายามที่เปี่ยมด้วยอารมณ์สำหรับทีมผู้สร้างภาพยนตร์ตั้งแต่เริ่มแรก ด้วยการที่ตัวละครของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์เรียนอยู่ไฮสคูลปีสุดท้ายและสายตาของผู้คนทั้งโลกก็จับจ้องมาที่เขา เป็นที่ชัดเจนว่า No Way Home จะเป็นบทสุดท้ายในเรื่องราวการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ “ใน Civil War สตาร์คพูดว่า ‘เธอเป็นสไปเดอร์-บอยหรือเปล่า’ และในหนังเรื่องก่อนๆ ปีเตอร์ก็เป็นสไปเดอร์-บอยจริงๆ และหนังเรื่องนี้ก็เกี่ยวกับการที่เขาจะกลายเป็นสไปเดอร์-แมนครับ” ทอม ฮอลแลนด์ ผู้กลับมารับบทปีเตอร์ ปาร์คเกอร์อีกครั้งในภาพยนตร์เรื่องใหม่นี้ กล่าว “มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่เขาเติบโตขึ้น ก้าวขึ้นไปบนบัลลังก์ และทำการตัดสินใจด้วยตัวเขาเองในฐานะอเวนเจอร์เต็มตัวน่ะครับ”
ผู้อำนวยการสร้าง เควิน ไฟกี ให้ความเห็นว่า ปีเตอร์ไม่เคยประสบความยากลำบากในการคิดหาคำตอบว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ถูกต้องมากกว่าในตอนนี้เลย “No Way Home เริ่มต้นทันทีหลังจากเหตุการณ์ใน Far From Home ซึ่งเป็นสิ่งที่เราอยากทำในเรื่องเสมอในเรื่อง ซึ่งก็คือการเริ่มต้นทันทีในขณะนั้น” เขากล่าว “ในที่สุด เราก็ทำสำเร็จที่นี่ และมันก็ไม่ได้ไปได้สวยสำหรับปีเตอร์เลย ตอนที่เขาเริ่มเรียนปีสุดท้าย มันช่างวุ่นวายและแตกต่างจากตอนที่เราพบเขาใน Homecoming ที่เขาเดินเข้าไปในชั้นปีที่สองของเขา”
“ในตอนจบของภาคที่แล้ว เราก็แบบ ‘ว้าว พวกเราสร้างเรื่องใหญ่ขึ้นมาแล้ว มือเขียนบทคนต่อไปจะเอาตัวรอดจากความวุ่นวายนี้ได้อย่างไร’ น่ะครับ” คริส แม็คเคนนา หนึ่งในมือเขียนบทที่มีชื่อปรากฏในภาพยนตร์เรื่องนี้กล่าว “และตอนนี้เราก็มาอยู่กันตรงนี้แล้ว”
“โลกรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร” ผู้อำนวยการสร้าง เอมี ปาสคัล กล่าว พลางตั้งข้อสังเกตว่าทุกช่วงเวลานำไปสู่สิ่งนี้ ตอนแรกก็เน็ด จากนั้นเป็นป้าเมย์ จากนั้นก็เอ็มเจ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตคู่ขนานของปีเตอร์ และแน่นอนว่า พวกอเวนเจอร์สรู้ว่าเขาเป็นใคร การที่ส่วนที่เหลือของโลกจะค้นพบเรื่องนี้ก็มีแต่ว่าช้าหรือเร็วเท่านั้นล่ะ และปฏิกิริยาของโลกก็คือ…เด็กคนนั้นคือสไปเดอร์-แมนเหรอ? “ฉันคิดว่ามันเป็นภาพฝันของปีเตอร์ที่ผู้คนจะค้นพบและรักเขาที่เป็นตัวละครนั้น แต่มันตรงกันข้าม”
“พลังพิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสไปเดอร์-แมนคือปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ และนั่นเป็นเพราะความถ่อมตนของเขา” ฮอลแลนด์กล่าว “เมื่อสิ่งนั้นตกอยู่ในอันตราย เพื่อนของเขาตกอยู่ในอันตราย ป้าของเขาตกอยู่ในอันตราย ชีวิตของพวกเขาถูกทำลายลงเพราะเขา เขาก็รู้ว่าเขาต้องทำอะไรบางอย่าง สิ่งที่ผมชอบ และนี่เป็นเครื่องเตือนใจเสมอว่าปีเตอร์อายุน้อยแค่ไหน ก็คือความไร้เดียงสาของเขาที่ไปหาด็อคเตอร์สเตรนจ์แล้วพูดว่า ‘คุณทำให้ทุกคนลืมว่าผมเป็นใครได้มั้ย นั่นคือสิ่งที่คุณสามารถทำได้ใช่รึเปล่า’ และนั่นคือสิ่งที่มีเพียงเด็กเท่านั้นที่จะทำน่ะครับ”
นั่นเป็นเรื่องจริงแม้ว่าสเตรนจ์และปีเตอร์จะไม่เคยใกล้ชิดกันมาก่อนก็ตาม เบเนดิคท์ คัมเบอร์แบทช์ กล่าว “ในตอนแรก มันก็เป็นเรื่องของการไม่รู้ว่าจะเรียกกันและกันยังไง” เขากล่าว “เรื่องราวในบทนี้ทำให้พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้นในการรู้จักและเข้าใจกันมากขึ้น เพราะถึงแม้พวกเขาจะผ่านประสบการณ์ที่เข้มข้นมาด้วยกัน และความพยายามร่วมกันบนโลกและยานคิวและไททันของพวกเขาจะสำคัญแค่ไหน พวกเขาก็ไม่ได้รู้จักกันจริงๆ จนถึงตอนนี้ สเตรนจ์เพิ่งได้เห็นเด็กที่มีพลังพิเศษติดบ่วงปัญหาที่ใหญ่โตกว่าพวกเขามาก”
เวทมนตร์ของสเตรนจ์เปิดมัลติเวิร์ส ซึ่งทำให้ทุกคนในจักรวาลที่รู้ว่าปีเตอร์ ปาร์คเกอร์เป็นสไปเดอร์-แมนสามารถเข้ามาในโลกของเขาได้ กลายเป็นว่านั่นเป็นคนจำนวนมากเลยล่ะ… ตั้งแต่ Spider-Man ภาคแรกในปี 2002 มีวายร้ายเป็นขโยงที่ค้นพบว่าตัวจริงของไอ้แมงมุมเป็นใคร ทั้ง กรีน ก็อบลิน, ด็อคอ็อค, แซนด์แมน, ลิซาร์ด, อิเล็คโทร ทั้งหมดเคยเป็นภัยคุกคามต่อปีเตอร์ ปาร์คเกอร์เป็นครั้งคราว เมื่อเวทมนตร์ของสเตรนจ์ได้พังทลายขอบเขตระหว่างจักรวาลเหล่านี้ พวกเขาทั้งหมดถูกนำมารวมกันเพื่อเผชิญหน้ากับปีเตอร์ ปาร์คเกอร์คนนี้
สำหรับแต่ละบทบาทเหล่านี้ ทางเลือกเดียวคือการเกณฑ์นักแสดงดั้งเดิมให้กลับมา ไม่ใช่เพื่อเป็นนักแสดงรับเชิญ แต่เพื่อรับบทที่มีความหมายและจำเป็นที่ฝังอยู่ในดีเอ็นเอของภาพยนตร์ ผู้ที่กลับมาร่วมแสดงอีกครั้งได้แก่วิลเล็ม เดโฟ, อัลเฟรด โมลินา และ เจมี ฟ็อกซ์ ที่กลับมารับบทบาทตัวร้ายของพวกเขาอีกครั้งในฐานะกรีน ก็อบลิน, ด็อคอ็อค และอิเล็คโทร
คุณจะโน้มน้าวให้คนเหล่านี้กลับมาได้อย่างไร? เควิน ไฟกีกล่าวว่า นโยบายที่ดีที่สุดคือการทำให้นักแสดงรู้สึกตื่นเต้นอย่างที่คุณเป็น “เราไม่เคยมองข้ามการคัดเลือกนักแสดง” เขากล่าว “เราไม่เคยคิดเอาเองว่าจะมีใครบางคนเซ็นสัญญาโดยไม่รู้อะไรเลย เราอยากจะนั่งลง มีการประชุม และแบ่งปันความหวังและความฝันของเราสำหรับโปรเจ็กต์นี้เสมอ ก่อนที่เราจะเขียนฉากที่สมบูรณ์แบบได้ มันก็เป็นเพียงแค่ความคิด ความหวัง และความฝันครับ เราต้องการนำผู้คนเข้าสู่ความฝันนั้นและมีความไว้วางใจว่า เราสามารถบรรลุความฝันนั้นร่วมกันได้ แต่เราไม่เคยคิดเอาเองว่ามันจะเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล”
ในทางกลับกัน ไม่เคยมีใครคิดที่จะคัดเลือกนักแสดงใหม่ “ถ้าคุณจะนำด็อคอ็อคกลับมา จะต้องเป็นอัลเฟรด โมลินาไม่ใช่หรือ” ไฟกีกล่าว “น่าสนุกใช่มั้ยล่ะครับ”
“สำหรับผมในฐานะนักแสดงและแฟนตัวยงของสไปเดอร์-แมน มันน่าตื่นเต้นมากที่ได้เห็นพวกเขาสวมชุดอีกครั้งและกลับมาสวมบทตัวละครพวกนั้นอีกครั้งน่ะครับ” ฮอลแลนด์กล่าว “เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากที่ได้เห็นอัลเฟรดรู้สึกทึ่งกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของหนังประเภทนี้ ตอนที่เขาถ่ายทำ Spider-Man™ 2 แขนของเขาเป็นเหมือนหุ่นเชิด มีผู้ชายสี่หรือห้าคนคอยเคลื่อนตัวไปรอบๆ เขา คราวนี้เขาอยู่บนแท่นไม้จิ้มฟัน ซึ่งเป็นแท่นบนเสาที่มีการถ่วงน้ำหนักตรงส่วนปลาย เขาสามารถยืนบนปลายนั้นและพวกเขาก็สามารถเคลื่อนตัวเขาไปรอบๆ ได้ เหมือนการได้เห็นเด็กในร้านขนมเลยล่ะครับ”
“ในวันที่ผมปิดกล้อง Spider-Man™ 2 ผมจำได้ว่าพวกเขามีตัวเลือกให้ผมสำหรับหนังอีกเรื่อง และผมก็พูดกับอาวี อารัดว่า ‘ผมคิดว่าคุณคงไม่ต้องใช้ตัวเลือกนี้แล้วล่ะ เพราะผมตายแล้ว’ และเขาก็พูดว่า ‘ในจักรวาลนี้ ไม่มีใครตาย’ ผมคิดว่าเขาพูดเล่น” โมลินากล่าว “แต่อาวีพูดถูกเลย ไม่มีใครตายในจักรวาลนี้”
ความสำเร็จของโมลินาในฐานะนักแสดงมีแต่จะเติบโตขึ้นในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา แต่บทบาทของเขาในฐานะดร.อ็อตโต อ็อคตาเวียส / ด็อคอ็อค ยังคงเป็นความทรงจำที่ดี “ผมรู้สึกภาคภูมิใจกับภาพยนตร์เรื่องนั้นมากและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมแสดงหนังฟอร์มยักษ์ ที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย และผมก็รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน” เขากล่าว “การได้แสดงหนังเรื่องนี้อีกครั้งเป็นเรื่องดีเยี่ยม แต่ในแบบที่ดีที่สุด ผมรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่มากขึ้น เพราะผมรู้ว่าตัวละครนี้ได้รับความนิยมมากแค่ไหน เมื่อ 17 ปีที่แล้ว ผมรักมันสุดๆ และมาครั้งนี้ ผมก็ไม่ต้องการให้แฟนๆ ผิดหวัง”
โมลินาบอกว่าเขากลับไปดู Spider-Man™ 2 เพื่อให้ตัวเองมีทัศนคติที่ถูกต้อง “การกลับไปดูหนังเรื่องนั้นมีประโยชน์ เพื่อให้แน่ใจว่าผมมาถูกทางแล้วในแง่ของการแสดง”
