บทวิเคราะห์ The Lobster โสด-เหงา-เป็น-ล็อบสเตอร์ (2015)

0
1253
The Lobster
The Lobster

หมายเหตุ : 
1.สปอยล์หมดไส้หมดพุง
2.วิเคราะห์ตามที่เข้าใจ หยิบยกมาเฉพาะที่จับประเด็นได้และคิดว่าน่าสนใจครับ

โลกของคนมีคู่ ไม่มีที่ยืนให้คนไร้คู่

หนังเรื่องนี้นำเสนอโลกของคนมีคู่ได้อย่างร้ายกาจ
ไม่ว่าจะโสดเพราะหาแฟนไม่ได้ โสดเพราะแฟนทิ้ง โสดเพราะแฟนเสียชีวิต
ก็จะต้องถูกส่งมาอยู่ใน The Hotel เหมือนๆกัน
เพื่อบังคับว่าจะต้องหาคู่ให้ได้ภายใน45วัน ไม่เช่นนั้นจะถูกเปลี่ยนเป็นสัตว์

อันที่จริงมันก็คล้ายกับโลกแห่งความเป็นจริงของเรานั่นแหละ
การกำหนดเงื่อนไขแบบนี้มันก็คล้ายกับการบอกว่า

ควรจะแต่งงานก่อนอายุ 30 35 40 หรืออื่นๆ แล้วแต่สภาพสังคม

ไม่งั้นสังคมก็จะมองคุณแบบแปลกๆ ญาติสนิทมิตรสหายก็จะมาคอยสอบถาม เหมือนเป็นคนแปลกแยก

The Hotel ใช้สารพัดวิธีในการทำให้คนไร้คู่รู้สึกด้อยค่าในตัวเอง
ทั้งการสัมมนาประหลาดๆที่เปรียบเปรยการมีคู่ดีกว่าการไร้คู่อย่างไร

ในการทานอาหาร หรือการเดินคนเดียว
มันก็คล้ายกับที่คนในสังคมมักจะบอกว่าการมีคู่ดีแบบนั้น ดีแบบนี้

แต่ไม่ได้กล่าวถึงปัญหาของการมีคู่ ที่เลือกคู่ผิดเลย ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ทั้งที่จริงๆแล้วความรักมันไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ว่ามันจะมาเมื่อไหร่
การระบุว่าใครสักคนเป็นรถด่วนขบวนสุดท้าย ที่จะต้องรีบแต่งกับคนนี้

เพราะใกล้จะหมดเวลา45วัน หรือก่อนถึงอายุ30 มันก็คล้ายๆกัน

หากไม่แน่ใจ ก็อาจจะเป็นเหมือนกับพระเอกซึ่งเจอสาวสายโหดเป็นคู่ชีวิต

เมื่อไปกันไม่รอด สุดท้ายก็ต้องแยกทางกัน
ซ้ำร้ายกว่านั้น ในหนังใช้วิธีการกำจัดกันออกไปจากชีวิตแบบโหดร้ายพอสมควร

อยู่เป็นคู่กันเพราะเป็นรักแท้ หรือ อยู่เป็นคู่กันเพราะกลัว

หนังนำเสนอประเด็นนี้ได้เจ็บแสบมาก และย้ำออกมาผ่านหลายๆคู่

เช่น คู่รักผู้จัดการโรงแรม ที่พอปืนมาจ่อตรงหน้า ก็สามารถเลือกยิงคู่ชีวิตของตัวเองได้อย่างไม่ลังเล

หรือ หนุ่มขากะเผลก ที่ประกาศตัวว่ายังไงก็ต้องหาใครสักคนมาเป็นคู่ เพื่อไม่ต้องเป็นสัตว์

เอาเข้าจริงมันสะท้อนอะไรหลายๆอย่างออกมานะ
บนโลกนี้ก็คงมีหลายคนที่แต่งงานเพราะโดนกดดันจากสังคมรอบข้าง เหมือนกฎ45วันของThe Hotel

สุดท้ายก็เลือกใครก็ได้มาเป็นคู่ เพราะกลัวสังคมรอบข้าง

สำหรับในเรื่องก็คือกลัวกลายเป็นสัตว์
แล้วเมื่อแต่งงานกันแล้วก็อยู่ๆกันไป

สำหรับปมนี้ผมว่าหนังบอกใบ้ตั้งแต่ฉากร้องเพลงคู่ของผู้จัดการโรงแรมแล้ว

เพราะมันไม่มีอินเนอร์ความรักใดๆจากฝ่ายหญิงเลยตอนร้องเพลงคู่ (เล่นดีนะ)

ความไม่เข้ากันของทั้งสองคนมันชัดมาก ซึ่งทำให้ไม่แปลกใจเลยตอนที่จะให้เลือกว่ายิงหรือไม่ยิ

รักต้องยอมเปลี่ยนแปลง

เมื่อหาคู่ที่เราชอบไม่ได้ แต่เราไม่อยากกลายเป็นสัตว์ เราก็ต้องยอมเปลี่ยนตัวเองทางใดทางหนึ่ง
หนังเรื่องนี้พยายามใช้หลักการหาคู่แบบง่ายๆคือ ต้องมีอะไรที่เหมือนกัน เช่น เลือดกำเดา ขากะเผลก สายตาสั้น

เมื่อคนขากะเผลกไม่สามารถหาคนที่เดินขากะเผลกแบบตนเองได้

จึงทำตัวเองให้เลือดกำเดาซะ จะได้มีจุดเหมือนกับผู้หญิงอีกคนนึง

มันคือสิ่งที่ชายคนนี้ยอมแลกเปลี่ยน นี่ยังดีที่เป็นแค่เลือดกำเดา

มันก็น่าสนใจว่าชายคนนี้จะทำร้ายตัวเองไปได้นานแค่ไหน

อย่างตอนสุดท้ายที่นางเอกตาบอดไปแล้ว (ดูจงใจเสียดสีคำว่าความรักทำให้ตาบอดมากๆ)

…พระเอกรักนางเอกถึงขั้นทำให้ตัวเองตาบอดเหมือนกันมั้ย

ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่าไม่ เพราะหนังจงใจแช่กล้องไว้นานมาก และไม่มีเสียงร้องใดๆออกมาจากห้องน้ำ

นอกจากนี้พระเอกก็แสดงความเอาตัวเองรอดเป็นหลักมาก่อนหลายต่อหลายครั้ง
เช่น จับเจ๊ขาโหดไปแปลงเป็นสัตว์, ออกจาก Hotel ไปร่วมกับกลุ่มคนโสด เพราะไม่อยากเป็นสัตว์
พระเอกมักจะเลือกเอาตัวรอดก่อนเสมอ ก่อนที่ภัยจะมาถึงตัว

มันเลยเป็นคำถามที่น่าคิดว่าอยู่ด้วยกันเพราะรักกัน หรือเพราะเราต่างเห็นแก่ตัว
เมื่อถึงจุดๆนึง เราจะเลือกตัวเองก่อนมั้ย

เพราะตั้งแต่ตอนเลือกคู่ ก็เลือกเพราะไม่อยากกลายเป็นสัตว์นั่นเอง
ถ้าเปรียบเป็นชีวิตจริง คงเป็นการเลือกคู่เพราะอยากมีชีวิตตามที่สังคมบอกให้มี 
ไม่อยากเป็นคนแปลกแยก
พอถึงเวลาอยู่ด้วยกัน เราจะเป็นในสิ่งที่ตัวเราไม่ได้เป็นไปได้นานแค่ไหนกัน

เมื่อทุกคนใส่ชุดเหมือนกันหมด

หนึ่งในฉากที่ผมขำอยู่ลึกๆคือฉากงานเต้นรำ

มันเป็นตลกร้ายอยู่ลึกๆนะ ที่ทุกคนใส่ชุดแบบเดียวกันหมด

แต่นั่นมันยิ่งสะท้อนว่าในสังคมที่ไม่มีความแตกต่างอะไรเลย ในเรื่องของฐานะ การศึกษา และอื่นๆ
สิ่งที่จะทำให้คนเลือกคู่ ก็คือสิ่งที่สะท้อนความเป็นตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นข้อดีหรือข้อด้อย

คนที่เลือดกำเดามีคนรู้จักมากมาย เพราะเธอเลือดกำเดา

แต่คนที่ผมบลอนด์สวย อกอึ๋ม กลับไม่ถูกเลือก เพราะเธอไม่มีจุดเด่นอะไรให้จดจำได้ในที่แห่งนั้น

หรืออาจเป็นได้ว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบเท่าเธอ ทำให้ไม่มีใครกล้าจีบ

ทุกคนไปเลือกแต่คนที่ที่มีข้อด้อย เพราะตัวเองก็มีข้อด้อยเหมือนกัน

อีกฉากที่ผมขำก็คือฉากในสระว่ายน้ำ

ที่คนขากะเผลกบอกว่าชุดคุณสวยจัง ทั้งๆที่ชุดมันเหมือนกันหมด

ท้ายที่สุดแล้วคนขากะเผลกก็ทำให้ตัวเองดูมีจุดด้อยเหมือนกันกับสาวเลือดกำเดาซะ

เพื่อให้สาวเลือดกำเดาสนใจ และเมื่อสาวเลือดกำเดาสนใจ

จะขากะเผลกหรือไม่ ไม่สำคัญ มันกลายเป็นว่าเรายังเลือดกำเดาเหมือนกันอยู่ใช่มั้ย (มีจุดร่วม)

โสด ชีวิตนี้อยู่คนเดียวก็ได้

เมื่อไม่ยอมเป็นสัตว์ และก้าวเข้าสู่สังคมคนโสด หนังทำให้เห็นว่าอยู่อย่างลำบากกว่า ต้องอยู่ในป่า
ทุกคนตัวใครตัวมัน การช่วยเหลือกันไม่ค่อยมีนัก เพราะถ้ามีความรักเมื่อไหร่จะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง

ที่หนักข้อสุดคือ กลุ่มคนโสดนั้นต้องขุดหลุมฝังศพให้ตัวเอง เพราะไม่มีใครทำให้
ข้อนี้เป็นจุดที่พีคสุดเลย เพราะเมื่อถึงวันนึงที่คนโสดต้องจากโลกนี้ไป ใครจะทำหลุมให้

เพราะงั้นทำเองซะตั้งแต่ตอนนี้เลย
เป็นข้อที่หนังจิกกัดคนโสดได้เจ็บแสบมาก

กรอบความเชื่อของฝั่งคนจะโสดกับคนจะมีคู่

กรอบความเชื่อที่แตกต่างกันของทั้งสองกลุ่ม
คนโสดใน Hotel พยายามล่าคนโสดในป่า เพื่อให้ตัวเองได้อยู่ต่อ

ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองมั้ย มันก็เหมือนกับคนโสดที่ยังไม่มีคู่
ถ้าอยากอยู่ต่อก็ต้องไล่ล่า ไล่ฆ่าคนที่เชื่อว่าโสดดี (กลุ่มคนโสดในป่า)

เพื่อให้เห็นว่าตัวเองนั้นยังเชื่อนะว่ามีคู่ดีกว่า
แม้ว่าตัวเองจะยังโสดอยู่ก็ตาม เหมือนล่าพวกเดียวกันเอง(โสดเหมือนกัน)

เพื่อให้เห็นว่าตัวเองยังอยู่กับกลุ่มคนมีคู่นะ

ชีวิตจริงก็มีคนที่ตัวเองก็โสด แต่เที่ยวไปวิพากย์วิจารณ์คนอื่นว่าควรมีคู่

อาจจะเพราะอยากให้ดูกลมกลืนกับสังคมคนมีคู่ด้วยล่ะมั้ง
นี่เป็นความย้อนแย้งที่หนังเสียดสีได้อย่างเจ็บแสบ

เพราะทำให้เห็นว่า เรากำลังถูกกลืนกินด้วยภาพแบบเดียวกันว่าทุกคนควรมีคู่
แม้กระทั่งคนไร้คู่ ก็ยังร่วมวงจู่โจมใส่คนโสดด้วยกันเองเลย

Leave a Reply