เป็นหนังเรื่องนึงที่รีวิวลำบาก เพราะถ้าถามว่าหนังดีมั้ยคงต้องบอกว่าหนังดี
แต่ถ้าถามว่าชอบมั้ย ก็พูดยาก ด้วยความที่เราเป็นคนไม่ชอบหนังสไตล์ที่คุณเต๋อทำเท่าไหร่
คือภาพนิ่งๆ แช่กล้องนานๆ เดินเรื่องเนิบนาบ ซึ่งก็เป็นจุดที่ทำให้เราดู Mary is happy ไม่จบ
เรื่องนี้ตัดสินใจตีตั๋วไปดูในโรงเลย เพราะอยากจะดูให้จบนี่แหละ หลังจากที่เคยดู Freelance ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ ไปแล้วชอบพอสมควรกับแนวคิดของหนังของผู้กำกับท่านนี้
ก็พบว่า Die Tomorrow เป็นหนังที่เราต้องใช้ความอดทนดูพอสมควร
เพราะมุมกล้องแบบนี้เราอึดอัด นอกจากภาพจะนิ่ง หลายๆฉากยังใช้อัตราส่วนภาพที่แคบด้วย
ซึ่งมั่นใจมากว่าเรื่องนี้ถ้าเราดูที่บ้าน คงจะหลับไปก่อน แล้วไม่หยิบมาดูต่อแน่นอน เพราะมันเหมือนหนังสั้นหลายๆเรื่อง หรือจะพูดว่าคลิปหลายๆคลิปมาตัดต่อเรียงๆกันก็ว่าได้
แต่ด้วยความที่ประเด็นที่หนังจะสื่อมันดี โดยมีจังหวะการตัดต่อคือดีมาก มีการเรียงลำดับที่ค่อยๆพาเราซึมซับเรื่องราวของความตายที่ผู้กำกับต้องการนำเสนอ ทำให้นอกจากเราจะดูต่อได้จนจบ เรายังชอบประเด็นภาพรวมที่เรื่องสั้นๆทุกเรื่องร้อยเรียงกันเป็นภาพรวมๆของสิ่งที่เรียกว่าความตายได้อย่างน่าสนใจ
เอาเป็นว่าเรื่องนี้ถ้าแสวงหาความสนุกสนานอาจจะไม่ตอบโจทย์ แต่ถ้าได้อยากได้แง่คิดและมุมมองเกี่ยวกับความตาย เรื่องนี้จัดเป็นเรื่องนึงที่น่าสนใจครับ
ปล.หนังเรื่องนี้นำเสนอเรื่องความตายซึ่งมีบางประเด็นที่ทำให้นึกถึงหนังญี่ปุ่นเรื่อง Kimi no suizo wo tabetai (ตับอ่อนเธอนั้น ขอฉันเถอะนะ) ที่ผมรีวิวไปก่อนหน้านี้เหมือนกันครับ (จริงๆเป็นหนังที่จุดชนวนให้อยากมาดูเรื่องนี้เลยล่ะครับ)