เครดิตผลงานของคุณบิ๊ก สิรนัท รัชชุศานติ ที่น่าสนใจ:
- ชั่วฟ้าดินสลาย
- มนต์รักทรานซิสเตอร์
- โฮม ความรัก ความสุข ความทรงจำ
- Stealth (ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด)
1. คุณบิ๊กมีโอกาสได้เข้าไปร่วมงานกับกองถ่ายของหนังสงครามเวียดนามเรื่อง The Last Full Measureได้อย่างไร
ตอบ : เริ่มเรื่องจริงๆแล้วหนังเรื่องนี้ตาม Schedule เดิมจะไม่ได้มาถ่ายทำที่ประเทศไทย มีการเตรียมการที่จะไปถ่ายประเทศทางแอฟริกา (ผมจำชื่อประเทศไม่ได้) มีการเทสต์ถ่ายทำที่ประเทศนั้นแล้ว มีการซ้อมฉากเฮลิคอปเตอร์ เรียบร้อยแล้ว แต่ด้วยปัญหาการถ่ายทำในอเมริกามีปัญหา ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ตารางถ่ายทำที่ประเทศทางแอฟริกา ที่จะใช้เป็นเวียดนามจึงมีปัญหาตาม แล้วหนึ่งในโปรดิวเซอร์ของหนังเรื่องนี้เคยมาทำงานร่วมงานกับบริษัท SC Flim ที่เป็นบริษัท support ของไทย รวมทั้งผมด้วยก็เคยทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์คนนี้จึงได้มีโอกาสร่วมงานกันอีกครั้งครับ
2. ทราบมาว่าปักหลักการถ่ายทำกันที่จังหวัดกาญจนบุรี ทำไมถึงเลือกโลเกชั่นเป็นที่เมืองกาญฯ
ตอบ : โจทย์แรก ที่ทางผู้กำกับ ต้องการคือป่าดิบชื้น ต้นไม้ใหญ่ และภูมิประเทศใกล้เคียงกับเวียดนาม แล้วด้วยความที่เป็นหนังสงครามหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในการมีเอฟเฟคต์ ระเบิด ปืน และมีการใช้ เฮลิคอปเตอร์ประกอบฉาก เเละเวลาในการเตรียมงานน้อย เราจึงเลือกจังหวัดกาญจนบุรีที่น่าจะตอบโจทย์ทั้งหมด คือมีป่าดิบชื้น มีหน่วยงานทหาร สนามบิน ที่สามารถจอดเฮลิคอปเตอร์ได้ อีกอย่างที่สำคัญ เราต้องหลีกเลี่ยงพื้นที่ของอุทยาน เพราะอย่างที่บอก เป็นหนังสงคราม และจำนวนทีมงานจำนวนเยอะมาก มีทั้งระเบิด และเสียงปืนทุกวัน เราจึงได้ข้อสรุปเป็นพื้นที่ป่าของเอกชนแต่ก็มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้มาดูแลห้ามตัดต้นไม้ใหญ่ถึงเป็นที่เอกชนก็ตาม
3.มีการถ่ายทำที่จุดไหนบ้างในจังหวัดกาญจนบุรี
ตอบ: เราใช้พื้นที่ป่าของเอกชน (ของชาวบ้าน) เลยขึ้นไปทางเขื่อนเขาแหลม ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรี 45 นาที เป็น Main location และสนามบินของค่ายสุรสีห์ เป็นที่ขึ้นลง เฮลิคอปเตอร์ และ เขาชนไก่ เป็นที่ฝึกซ้อมทหาร ซ้อมระเบิด ซ้อมยิงปืน และท่าทางของนักแสดงให้เป็นทหาร
4. การที่ต้องจำลองโลเกชั่นของเมืองไทยให้เป็นฉากหลังในสงครามเวียดนาม ตอนนั้นคุณบิ๊กต้องทำการบ้านอย่างไรบ้าง
ตอบ : เรานั่ง research สงครามเวียดนามว่ามีรูปแบบอย่างไร ใช้ปืนอะไร มีอุปกรณ์ประกอบแบบไหนบ้าง รูปแบบของทหารอเมริกันที่มารบในเวียดนามเป็นอย่างไร ใช้เฮลิคอปเตอร์รุ่นไหน ซึ่งในแต่ละปีก็ต่างกัน ทหารต่างหน่วยกันก็ใส่เสื้อผ้าไม่เหมือนกัน สูบบุหรี่ยี่ห้ออะไร มีน้ำยากันน้ำกัดเท้าเหน็บหมวก แต่ที่ตลกมาก คือทางอเมริกาได้เตรียมเสื้อผ้าส่งมาให้ไทยส่งตรงมาจากอเมริกา แต่ทางสไตลิสท์ทีมเสื้อผ้าของเรา พี่บั๊ว ได้ศึกษามาเป็นอย่างดี เสื้อผ้าที่ส่งมา ลายเสื้อไม่ถูก ซึ่งมองด้วยตาเปล่าบางทีก็ไม่รู้ แต่ทางทีมเสื้อผ้าของไทยไม่ยอม หาผ้าในไทยตัดใหม่ และสิ่งที่โชคดี ของทหารอเมริกันบางอย่าง เราได้ของสะสมเก่าจริง จากพี่ๆ ในเมืองไทยที่สะสมไว้ ของในฉาก รถ เฮลิคอปเตอร์ หมวกนักบินที่เห็นจึงเป็นของเก่าจริงใช้จริงในสมัยสงครามเวียดนาม
5. และสิ่งที่คิดว่าท้าทายที่สุดในการทำงานในหนังสงครามที่ต้องเน้นความสมจริงแบบ The Last Full Measure คืออะไร
ตอบ: เราสนุกและท้าทายเสมอ เมือทำภาพยนตร์ที่เป็นหนังชีวประวัติ หรืออ้างอิงเรื่องราวประวัติศาสตร์จริง เพราะนั้นหมายถึงเรามีหลักฐานยืนยัน มีรูปภาพ มีหลักฐาน อ้างอิงยืนยัน มีภาพยนตร์สงครามเวียดนาม ที่ทำออกมามากมาย ถ้าเราทำผิดพลาดนิดเดียว มันก็จะฟ้องออกมาด้วยภาพ และภาพยนตร์ก็จะอยู่ไปตลอด เพราะฉะนั้น เราจึงซีเรียสเรื่องของและอุปกรณ์ประกอบฉากจะต้องถูกต้องตรงยุคสมัย และเพื่อให้เกิดความสมจริงของภาพยนตร์มากขึ้น
6. ฉากไหนที่คิดว่าหินที่สุดสำหรับการส่วนของ Art Director ในเรื่องนี้
ตอบ : ฉากที่รบกันในป่าทั้งหมด เพราะเราต้องทำต้นไม้ปลอม ผิวไม้ปลอม ปลูกต้นไม้ที่เรานำมาเองเพื่อรับเอฟเฟคต์ลูกกระสุนและระเบิดเองโดยไม่ไปทำลายต้นไม้ของสถานที่ที่เราไปใช้ถ่ายทำ การขุดหลุมสำหรับทหารเวียดกง ทำนั่งร้านบนต้นไม้ศุงให้ทหารเวียดกงอยู่ และฉากที่มีเฮลิคอปเตอร์ประกอบฉาก เพราะการนำเฮลิคอปเตอร์รุ่น ฮิวอี้ ซึ่งเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่ใช้จริงในสมัยสงครามเวียดนามจริง ซึ่งทางกองทัพอเมริกัน เมื่อทำการรบสงครามเวียดนามเสร็จไม่ได้นำกลับ มอบให้ทางกองทัพไทยได้ใช้ต่อมา อายุของเฮลิคอปเตอร์นั้นเก่ามาก 30-40 ปี ทั่วทั้งประเทศไทย ที่สามารถบินได้ มีไม่เกิน 5 ลำ เรานำ เฮลิคอปเตอร์มาจากเชียงใหม่ และจังหวัดตาก ต้องบินมาที่เมืองกาญจนบุรีใช้เวลา 3 วัน เพราะด้วยอายุของเฮลิคอปเตอร์ต้องบินระยะสั้นๆพักมาตลอด พอมาถึงเราก็ต้องทำการเปลี่ยน เป็น เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพอเมริกาโดยการลบป้ายตัวหนังสือไทย แล้วนำป้ายตัวอักษรอเมริกันติดเข้าไปแทน แล้วการถ่ายทำบนท้องฟ้ายากมาก ในการสื่อสารกับนักบินตากล้อง สื่อสารกับนักแสดงภาคพื้นดิน
7. สิ่งที่น่าสนใจที่อยากจะแชร์ให้คอหนังคนไทยฟังเกี่ยวกับการทำงานกับผู้กำกับหรือกองถ่ายจากฮอลลีวู้ด
ตอบ : จริงๆ ผมรู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ไทย หรือ ภาพยนตร์ ฮอลลีวู้ด ผมว่าความทุ่มเทและการทำงานของทีมงานไทยและผู้กำกับ นักแสดง ไม่ต่างกัน เพียงแต่เราจะรู้สึกว่าหนังฮอลลีวู้ดทำไมดูยิ่งใหญ่กว่า แน่นอนเพราะทุนสร้าง และตลาดในการรับชมใหญ่กว่า มันเลยเป็นความท้าทายที่เมื่อได้ทำงานหนังฮอลลีวู้ดทุกครั้ง มันหมายถึงที่เราจะได้แสดงให้ชาวโลกได้เห็นทุกครั้งว่า ฝีมือคนไทย ทีมงานไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก สถานที่ถ่ายทำในไทย และคนไทยทุกคนก็ทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี อยากฝากให้ช่วยอุดหนุนทั้งหนังไทยและหนังต่างประเทศคนทำหนังจะได้มีกำลังใจทำต่อไปครับ
8. อยากให้พูดถึงการทำงานของนักแสดงในเรื่อง เท่าที่คุณบิ๊กเห็นพวกเขาทุ่มเทกันขนาดไหน
ตอบ : อย่างที่ผมบอก นักแสดงไม่ว่าต่างชาติและนักแสดงไทยในภาพยนตร์ไทย ที่ผมเห็นทุ่มเททุกคนที่ได้รับบทบาทนั้นๆ เพียงแต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ความท้าทายคือเป็นการรวมนักแสดงหน้าใหม่ ในส่วนของสงครามเวียดนามพวกนักแสดงทุกคนต้องมาเรียนรู้การจับปืน การเดินแบบทหาร การหมอบการคลาน การวิ่งแบบทหาร โดยทำ workshop ในเวลาน้อยมาก การถ่ายทำที่ต้องเจอเสียงปืนเสียงระเบิดทุกวัน ต้องอดทนมากครับ
9. ในมุมมองของคุณบิ๊กเอง คิดว่าการถ่ายทอดเรื่องราววีรกรรมที่โลกไม่เคยรู้ในภาพยนตร์เรื่อง The Last Full Measure มีความน่าสนใจอย่างไรบ้างครับ
ตอบ : ผมว่าประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้ ยิ่งเป็นเรื่องราววีรกรรมชีวิตจริงของทหารอเมริกันคนนึง ที่มารบในสงครามเวียดนาม ทีได้สร้างวีรกรรมจริงให้กลับกองทัพอเมริกัน และคนอเมริกันจะได้มีความภาคภูมิใจไปกับประวัติศาสตร์จริงๆ ขนาดผมเอง ตอนถ่ายทำฉากสุดท้ายที่นายทหารตนนี้เสียชีวิต ( ผม Set เป็นฉากเต้นท์ทหารพยาบาล ) ผมก็รู้ทั้งรู้ว่าเป็นการแสดง ผมยังแอบน้ำตารื้นตอนดูผ่านมอนิเตอร์เลยครับ
“The Last Full Measure วีรบุรุษที่โลกไม่จำ” ถ่ายทอดวีรกรรมของ “วิลเลียม เอช. พิตเซนบาร์เกอร์” (รับบทโดย เจเรมี เออร์วีน) หน่วยพลร่มสังกัดกองทัพอากาศสหรัฐฯ ระหว่างสงครามเวียดนามปี 1966 เมื่อเขาโรยตัวลงมาเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนทหารราบ และตัดสินใจทิ้งโอกาสในการหนีออกจากเขตปะทะไปพร้อมเฮลิคอปเตอร์ลำสุดท้าย เพื่อช่วยรักษาและต่อลมหายใจให้เพื่อนทหารอีก 60 ชีวิต
จนท้ายสุดสงครามครั้งนั้นก็หลงเหลือไว้เพียงร่างของเขา และความยุติธรรมที่ถูกเพิกเฉย ถึงแม้ต้องใช้เวลานานถึง 30 ปี แต่วันนี้ความจริงทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดเผย เมื่ออดีตสหายร่วมรบ (รับบทโดย วิลเลียม เฮิร์ต) ลุกขึ้นมาขอความช่วยเหลือจากทนายกระทรวงกลาโหม “สก็อตต์ ฮัฟฟ์แมน” (รับบทโดย เซบาสเตียน สแตน) เพื่อเสนอชื่อ “วิลเลียม เอช. พิตเซนบาร์เกอร์” รับเหรียญเกียรติยศ เชิดชูความกล้าหาญชั้นสูงสุดของประเทศ นำมาสู่จุดเริ่มต้นของการตามหาความจริงจากครอบครัวของวีรบุรุษ และทหารผ่านศึกคนอื่นที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อ ทวงความกล้าหาญ แด่ฮีโร่ที่โลกลืม รวมทั้งเปิดโปง “ความลับ” บางอย่างที่เกือบถูกลบหายไปพร้อมกับสงครามครั้งนั้น