ตลอดปี 2018 ผมได้ดูหนังทั้งหมด 107 เรื่อง แต่รีวิวไป 106 เรื่องนะครับ ดังนั้นลิสต์นี้ผมจะรวบรวมหนังที่ผมคิดว่ายอดเยี่ยมที่สุด 10 เรื่องของปี 2018 จากที่ผมรีวิวไปแล้วเท่านั้นนะครับ และคะแนนที่เคยให้ไว้อาจจะไม่มีผลกับลำดับโดยตรงแล้ว เพราะคะแนนหนังกลุ่มนี้ไล่เลี่ยกันหมดครับ
หมายเหตุ : ท้ายบทความจะมีเก็บตกลำดับ 11-20 และหนังที่เข้าฉายก่อนปี 2018 แต่ผมเพิ่งได้ดูและรีวิวปีนี้เหมือนเดิมครับ
10.Hereditary กรรมพันธุ์นรก
นี่เป็นหนังที่ผมทำใจตัดจากลิสต์ไปไม่ได้จริงๆ ทั้งๆที่ยังมีหนังอีกหลายเรื่องที่ผมประทับใจมากกว่าเรื่องนี้และคู่ควรจะมาอยู่อันดับที่ 10 เหมือนกัน แต่เมื่อพิจารณาแล้วว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่บทหนังร้ายกาจ มีความเฉพาะตัว น่ากลัว และความหลอนของเสียงเดาะลิ้นยังตราตรึงอยู่จนทุกวันนี้ ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในหนังที่ยังไงผมก็จะยัดไว้ในโผหนังแห่งปีแน่นอน แม้ว่าจะไม่ชอบหนังสยองขวัญ แต่นี่คือหนังสยองขวัญที่มีบทร้ายกาจสุดๆครับ
9.Tonight, At Romance Theater รักเรา จะพบกัน
เป็นหนังอีกเรื่องที่มีความเฉพาะตัว เพราะหนังเล่าเรื่องเหนือจริงจากการที่พระเอกไปตกหลุมรักนางเอกซึ่งเป็นตัวละครในหนังเรื่องนึง โดยส่วนตัวแล้วนี่เป็นหนังที่ชอบมากๆ เพราะนำเสนอมุมมองของคนชอบดูหนังด้วย แม้ว่าหนังจะย้อนยุคก็ตาม ส่วนตัวแล้วมองว่าถ้าใครชอบดูหนังมากๆ เรื่องนี้น่าจะอินเป็นพิเศษครับ
8.Shadow จอมคนกระบี่เงา
เป็นหนังอีกเรื่องที่ยอมรับว่าสุดโต่งในแบบของมันครับ ผมแอบเสียดายที่ไม่ได้เขียนบทวิเคราะห์ฉากในช่วงท้ายของเรื่องนี้เหมือนกัน เพราะมองว่าจุดที่พีคที่สุดของเรื่องหนังเล่าได้เคลียร์อยู่แล้ว จากตัวอย่างหนังตอนแรกแอบนึกว่าจะเป็นหนังแอคชั่นอาร์ทๆ งานภาพสวยๆ แต่เปล่าเลย มันเป็นหนังที่มีความลึกของตัวละครสูงมาก
ฉากต่อสู้เป็นเพียงน้ำจิ้ม และหนังใช้เวลาการปูเนื้อเรื่องเกือบจะ 90% ของเวลาในหนัง เพื่อจะรัวหมัดเข้าใส่เราในฉากสุดท้ายแบบไม่ยั้ง ที่แค่ฉากสุดท้ายฉากเดียวก็ดันหนังให้มาอยู่ตรงจุดที่เป็น 1 ใน 10 หนังยอดเยี่ยมแห่งปีได้ครับ สิ่งเดียวที่อาจจะติดขัดสำหรับบางคนคือ จะต้องผ่านเนื้อหาช่วงแรกที่ปูมาทั้งหมดก่อน ไม่งั้นจะไม่เข้าใจการกระทำของตัวละครในช่วงท้ายเลย
7.Burning มือเพลิง (9/10)
สำหรับผมนี่เป็นหนังที่ดูยากอันดับต้นๆของปีนี้เลยครับ แต่ยังอยู่ในระดับที่ดูแล้วเข้าใจสิ่งที่หนังนำเสนอนะ เพราะถ้าไม่เข้าใจจะไม่ติดโผนี้ ฮ่าๆ หนังทิ้งปริศนาและปมของตัวละครเต็มไปหมด ซึ่งจนถึงวันนี้ไปอ่านกี่บทวิเคราะห์ ก็มีแต่คนตีความไม่เหมือนกัน และไม่เหมือนเราด้วย
ถ้าใครชอบอะไรเคลียร์ๆ อาจจะต้องตัดหนังเรื่องนี้ทิ้งจากลิสต์หนังแนะนำ แต่ส่วนตัวแล้วผมมองว่าหนังเรื่องนี้มันเป็นหนังเรื่องนึงที่สลัดออกจากหัวยากมากจริงๆ แม้ตอนดูจะรู้สึกว่าหนังมันเดินเรื่องเรียบมากๆก็ตาม
สำหรับเรื่องนี้ผมมีเขียนบทวิเคราะห์ไว้ครับ >> บทวิเคราะห์ Burning มือเพลิง
6.App War แอปชนแอป
หนังไทยที่ว่าด้วยเรื่องการทำแอปมือถือ ซึ่งเอาจริงๆผมเป็นคนในวงการ IT และชอบดูหนัง เลยรู้สึกอินกับหนังเรื่องนี้เป็นพิเศษ มันเป็นหนังไทยแนวที่ไม่ค่อยมีใครทำ เพราะเอาหมดทั้งตลก รักโรแมนติก และเรื่องธุรกิจ ซึ่งจุดบกพร่องของหนังก็มีแหละ แต่ผมมองว่านี่คือหนังที่บาลานซ์ระหว่างข้อเท็จจริงในวงการ IT กับ การเลือกใช้ภาษาหนังได้ดีมากๆเรื่องนึงเลยครับ (คือบางชอตมันดูโอเวอร์เกินจริง แต่หนังก็ไม่ได้เล่าในแบบที่เรียบๆเหมือนชีวิตคน IT ที่นิ่งๆอยู่แล้ว) โดยรวมนี่เป็นหนังไทยเรื่องนึงที่ผมชอบมากๆในปีนี้เลยครับ
สำหรับเรื่องนี้ผมมีเขียนบทวิเคราะห์ไว้ครับ >> บทวิเคราะห์ App War เพราะโลกธุรกิจไม่สดใสเหมือนในเทพนิยาย
5.Mission Impossible Fall Out
จริงๆแล้วผมเป็นคนชอบหนังแอคชั่นนะ แต่หนังแอคชั่นมักไม่ค่อยติดโผหนังยอดเยี่ยมของปีเท่าไหร่ เพราะมันก็มักจะสนุกตามคาด ..แต่การที่หนังเรื่องนี้ติดโผ เป็นเพราะว่าหนังมันมีฉากแอคชั่นที่กล้าและบ้ามากๆ ทั้งคนสร้างและคนแสดง หนังไปสุดมากกับฉากแอคชั่น ผาดโผน เสี่ยงตาย แม้บทจะไม่ได้ซับซ้อน แต่หนังมันขายในสิ่งที่มันต้องการจะขายได้ดีเยี่ยม นับเป็นหนังแอคชั่นที่มีฉากเจ๋งๆเยอะสุดในรอบหลายปีที่ผมได้ดู และหนังไปไกลกว่าที่คาดหวังไว้มากๆครับ
4.BNK48 : Girls Don’t Cry
หนังสารคดีของวงไอดอล ซึ่งส่วนตัวผมไม่ชอบหนังสารคดี และก็ไม่ได้เป็นแฟนคลับวงนี้ แล้วตัวหนังแทบจะเรียกว่าไม่มีอะไรเลยนอกจากสัมภาษณ์นักแสดง กับฟุตเทจที่เก็บมา แต่ด้วยสิ่งที่สัมภาษณ์ และการตัดต่อ ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นการตีแผ่วงการไอดอล และสะท้อนอะไรหลายๆอย่างออกมา ซึ่งมีความดาร์คขั้นสุดมาก
เรียกว่าหนังเดินเรื่องแบบเรียบๆ ไม่มีฉากแอคชั่น แต่ทำให้เรารู้สึกว่ามันมีความดราม่าระหว่างบุคคล และมีความเดือดซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้ม โดยเฉพาะฉากตัดสลับบทสัมภาษณ์ของเมมเบอร์บางคู่ ทำให้เรารู้สึกว่าหนังมันเจ๋งด้วยวิธีการนำเสนอมากๆ
สำหรับเรื่องนี้ผมมีเขียนบทวิเคราะห์ไว้ครับ >> บทวิเคราะห์ BNK48 Girls Don’t Cry บาดแผลภายใต้รอยยิ้มของไอดอล
3.One Cut of the Dead
หนังคัลท์ทุนต่ำ ที่ยากจะเชื่อว่าพาตัวเองมาได้ไกลถึง Top 3 ของปีนี้ เอาเข้าจริงหนังมันมีความเฉพาะตัวและน่าจดจำที่สุดของปีนี้เลย กับความกล้าบ้าบิ่นของคนคิดบท ที่ใช้ทุนน้อย แต่หนังโคตรสมบูรณ์แบบในตัวมันเอง ส่วนตัวมองว่านี่เป็นหนังที่ไม่ควรรีเมค ไม่ควรทำซ้ำหรืออะไรอีกแล้ว หนังแบบนี้น่าจะขายได้แค่ครั้งเดียว (คือคนเคยดู ยังดูซ้ำได้ แต่ถ้าเอามาทำใหม่ มันอาจจะไม่สดใหม่แบบนี้แล้ว)
ใครยังไม่ดู แนะนำให้ไปหามาดู และผ่านช่วงแรกของหนังไปให้ได้ เพราะหนังจะดูประหลาดๆ เหมือนหนังเกรด B แต่ถ้าผ่านช่วงนั้นไปแล้ว ช่วงท้ายใครไม่ขำก็ให้มันรู้ไป นี่คือหนังตลกเกรดพรีเมี่ยมที่เจ๋งและแนวที่สุดในรอบหลายปี
2.Homestay โฮมสเตย์
นี่คือหนังที่มีข้อความที่ทรงพลังที่สุดของปีนี้ ไม่รู้จะเขียนแนะนำอะไรเพิ่มเติมอีก ถ้าต้องการอ่านรีวิวแบบไม่สปอยล์คลิกที่ชื่อหนังด้านบนได้เลยครับ ส่วนใครดูแล้วผมมีเขียนบทวิเคราะห์ไว้ครับ >> บทวิเคราะห์ HOMESTAY : เพราะชีวิตคือรางวัล
HOMESTAY หนังที่พอมาสรุปปลายปี ไม่รู้จะพูดอะไรถึงหนังได้อีก เพราะมันเป็นหนังที่ชอบ และรู้สึกดีมากจริงๆ อะไรที่ควรพิมพ์ ควรพูดถึงก็จัดไปหมดแม็กตั้งแต่ตอนเขียนรีวิว และบทวิเคราะห์เรียบร้อยแล้วครับ เป็นหนังไทยที่แนะนำให้ดูอย่างยิ่งครับ
1.Ready Player One
อันดับ 1 ของปีนี้ตกเป็นของ Ready Player One ซึ่งผมให้ 10/10 เพียงเรื่องเดียวในปีนี้ครับ หนังเต็มเปี่ยมไปด้วยความสนุก และมีตัวละครยุค 80-90 ออกมาโลดแล่นบนจอภาพยนตร์ ซึ่งพอดีว่าผมเกิดทัน และโตมากับ Pop Culture ในยุคนั้นครับ
นี่เป็นหนังที่ผมชอบมากๆ แม้จะไม่ได้หยิบยกประเด็นในหนังมาเขียนบทวิเคราะห์ต่อก็ตาม มันเป็นหนังที่ดูแล้วสนุก หยิบมาดูซ้ำก็ยังสนุก งานภาพสวย พลอตเรื่องแม้จะคาดเดาหลายๆอย่างได้ แต่มันก็ยังทำให้เราเพลิดเพลินไปกับโลกของมันได้ จนอยากเข้าไปใน OASIS เองเลยครับ
อันดับที่ 11-20 ของปี 2018
11.A Star Is Born – ดราม่า ซึ้ง กินใจ เพลงประกอบเพราะมากๆครับ
12.Be with You (2018) ปาฏิหาริย์ สัญญารัก ฤดูฝน – เกาหลีเอาหนังญี่ปุ่นมารีเมค แต่ทำออกมาได้ตลก สดใสกว่า ผมเลยชอบเวอร์ชั่นนี้มากกว่าต้นฉบับครับ
13.Along with the Gods – The Last 49 Days ฝ่า 7 นรกไปกับพระเจ้าภาค 2 – หนังภาคต่อที่ทำออกมาได้ดี และมีแง่คิดที่ดีมากครับ (ภาคแรกเป็นอันดับ 4 ของปี 2017)
14.Code Geass Lelouch of the Rebellion บทที่ 1 หนทางแห่งการตื่น – ไม่เคยดูฉบับอนิเมะมาก่อน เลยชอบภาคแรกของเดอะมูฟวี่มากๆ เพราะตัดมาได้กระชับ และมีประเด็นทางการเมืองเข้มข้นครับ แอบเสียดายตรงภาคสองที่ฉายติดๆกัน เป็นภาคที่ตัดต่อออกมาไม่ลื่นเท่าไหร่ครับ
15.ยิปมัน: ตำนานมาสเตอร์ Z– จริงๆด้วยตัวหนังเองมันดีมาก ชอบมาก ฉากแอคชั่นสวย ประเด็นดี แต่เพราะประเด็นมันแอบใกล้เคียงกับยิปมันที่เคยทำออกมาก่อนหน้านี้แล้วหลายต่อหลายครั้ง เลยทำให้ไม่ติดโผ 10 อันดับแรกครับ
16.Book Club ก๊วนลับฉบับสาวแซ่บ – นี่เป็นหนังที่เซอไพร์สมากๆ จากหน้าหนังไม่คิดว่าหนังจะตลกและสนุกได้ขนาดนี้ครับ
17.9 ศาสตรา – นี่คือผลงาน Animation ฝีมือชาวไทย ที่ดีที่สุดตั้งแต่เคยทำมาครับ
18.Aquaman อควาแมน เจ้าสมุทร – นี่คือหนังกู้หน้าจักรวาล DC ที่แท้จริง หนังมีความบันเทิงเต็มอิ่ม ครบรส แม้บางอย่างจะดูเวิ่นเว้อไปบ้าง แต่รวมๆแล้วชอบตรงที่มันสนุกนี่ล่ะครับ
19.A Quiet Place ดินแดนไร้เสียง – เป็นหนังที่มีแนวทางของตัวเองชัดเจนมาก …มันกดดันจนไม่กล้าส่งเสียงจริงๆ
20.I WANT TO EAT YOUR PANCREAS เพราะหัวใจใกล้ตับอ่อน – เรื่องนี้เวอร์ชั่นคนแสดงติดอันดับ 9 ในปี 2017 ซึ่งปีนี้ไม่ได้คาดหวังว่าเรื่องนี้จะติดอันดับใดๆเลย แม้เนื้อหาจะเหมือนเดิมก็ตาม แต่ในฉบับการ์ตูนนี้มีประเด็นบางอย่างที่ผมชอบแตกต่างจากเวอร์ชั่นคนแสดง ทำให้พลอตเรื่องตับอ่อนยังติดอันดับ 20 ของปี 2018 ครับ (ปีหน้าคงไม่มีใครสร้างแล้วนะ 555)
หนังยอดเยี่ยมที่เข้าฉายก่อนปี 2018
ปีนี้มีเรื่องเดียวครับ ได้แก่ The Post เอกสารลับเพนตากอน หนังมีประเด็นที่น่าสนใจมากๆเกี่ยวกับจรรยาบรรณสื่อ ความสัมพันธ์กับนักการเมือง และผลประโยชน์ของประเทศ ตอนแรกตั้งใจว่าจะเขียนบทวิเคราะห์ แต่ด้วยความที่ช่วงที่ได้ดูยุ่งมากๆ จนแล้วจนรอดก็เลยยังไม่ได้เขียนครับ
หนังยอดเยี่ยมที่จะไปนับรวมในรีวิวปี 2019
จริงๆไม่เคยตั้งใจจะให้มีหมวดนี้ แต่ด้วยความที่ผมมีโอกาสได้ดูในปี 2018 และมันยอดเยี่ยมมาก แต่ผมต้องลงรีวิวในปี 2019 ครับ ซึ่งพอพูดถึงหนังดีๆที่ดีในปี 2018 ก็อดที่จะพูดถึงไม่ได้ครับ กับ Spider-Man: Into the Spider-Verse ผมเขียนรีวิวเสร็จแล้ว แต่จะลงรีวิวเต็มๆ วันที่ 1 มกราคม 2562 ให้ทุกคนได้อ่านกันในวันปีใหม่นะครับ และนี่คือหนังเรื่องที่ 107 ที่ผมบอกไว้ข้างต้นครับ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่าน Me Review กันเสมอมานะครับ
สวัสดีปีใหม่(ล่วงหน้า)ครับ