อ้างอิงจากข่าว : Apple ออกจดหมายขอโทษลูกค้าเรื่อง iPhone ทำงานช้าลงถ้าแบตเสื่อม ประกาศลดราคาค่าเปลี่ยนแบต เริ่มปีหน้า
หลังเกิดกระแสความไม่พอใจระลอกใหญ่ในกลุ่มผู้ใช้งาน iPhone รวมไปถึงการฟ้องร้องที่ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากการยืนยันจาก Apple ว่ามีการปรับลดความเร็ว CPU กรณีแบตเตอรี่ของ iPhone เสื่อมลงจริง
Apple ได้ออกจดหมายชี้แจงเพิ่ม และขอโทษลูกค้าโดยให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแบตว่าจะมีผลให้เครื่องดับไปเฉยๆ ซึ่งข้อมูลนี้เอาจริงๆไม่ถือว่าใหม่ เพราะเป็นที่มีตั้งแต่ข่าวแรกอยู่แล้ว แต่การสื่อสารในส่วนนี้เมื่อคราวก่อนไม่ชัดเจน (ซึ่งผมได้อ่านประเด็นนี้แล้วนะ …แต่ก็ยังไม่เห็นด้วยกับทางเลือกของ Apple อยู่ดี)
พร้อมกันนั้นเพื่อลดความไม่พอใจของผู้บริโภค Apple ได้ประกาศลดราคาค่าเปลี่ยนแบตตั้งแต่ iPhone 6 ขึ้นไป ในปี 2018 จาก 79 ดอลลาร์ เหลือ 29 ดอลลาร์ (63%) ซึ่งถือว่าลดเยอะมาก (แต่ผมมองว่า Apple ก็ยังมีกำไรอยู่ แต่ถือว่าดีกว่าเราไปเปลี่ยนร้านตู้กันเอาเอง) และจะมีการทำให้ iOS มีการแจ้งประสิทธิภาพของแบตเพิ่มเติม
ส่วนตัวแล้วผมมองว่าข่าวนี้เป็นการออกมาบรรเทาความตึงเครียดในหมู่ลูกค้าเฉยๆ
เพราะเอาเข้าจริง Apple ก็ไม่ได้เปลี่ยนระบบให้ลูกค้ามาเลือกเองได้ ว่าจะเอา CPU เร็วๆแต่เสี่ยงเครื่องดับ (ก็แก้ด้วยการชาร์จทั้งวันได้) หรือ จะเอา CPU ที่ช้าแต่มือถืออยู่ได้ทั้งวัน
ดังนั้นปัญหาเรื่อง iPhone เครื่องเก่าช้า ก็จะยังอยู่เหมือนเดิม ถ้าไม่ไปเปลี่ยนแบต ลูกค้าก็ต้องเดินเข้าศูนย์ไปจ่ายเงินให้ Apple อยู่ดี แถมประกาศที่ออกมาก็มีผลแค่ปี 2018 …ซึ่งแล้วปี 2019 และปีต่อๆไปจะเป็นอย่างไรก็คงต้องไปลุ้นกันอีกที ซึ่ง Apple ก็คงลุ้นเหมือนกันว่าหลังจากกระแสซาลง ถ้ากลับมาคิดราคาเก่าก็คงไม่มีคนโวยแรงเท่านี้แล้ว เพราะถือว่ารับทราบแล้วนะ เรื่องปรับลด CPU
โดยรวมแล้วปัญหาความไม่พอใจจากลูกค้ากลุ่มใหญ่ๆ ถูกลดทอนไปส่วนหนึ่งจากคนที่ยังยินดีใช้ Apple ต่อ เพราะมีทางเลือกที่เปลี่ยนแบตในราคาที่ถูกลง แล้วจะได้ต่ออายุการใช้งานของ iPhone ไปอีกช่วงหนึ่ง
แต่สำหรับคนที่ไม่ได้อยากจ่ายเงินให้ Apple แล้ว ทางออกนี้ก็อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ตอบโจทย์เท่าไหร่ หากเรามองการใช้มือถือเป็นค่าบริการรายวัน เหมือนการเช่า
ต้นทุนที่ต้องจ่ายเพิ่ม เพื่อใช้มือถือเครื่องเก่าต่อไปอีก ก็เป็นทางเลือกที่ต้องตัดสินใจเช่นกัน เพราะอย่าง iPhone 6 ตอนนี้ ถ้าไปที่ร้านตู้มาบุญครอง ราคาก็จะอยู่ราวๆ 5-6 พันเท่านั้นเอง (เปลี่ยนแบต 950 บาท จากราคาเดิมประมาณ 2,580 บาท) ซึ่งถ้าปีถัดๆไปไม่ลดราคา ก็จะเป็นครึ่งต่อครึ่งกับค่าเครื่องมือสองเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยอมรับว่า Apple ยังเห็นความสำคัญของปัญหานี้ จึงต้องรีบออกมายับยั้งก่อนจะบานปลายไปมากกว่านี้ ในส่วนของการฟ้องร้องกันในศาล ก็ต้องดูกันต่อไปว่าผลลัพธ์จะจบลงอย่างไร
