บทวิเคราะห์ Avengers: Endgame

0
773
บทวิเคราะห์ อเวนเจอร์ส: เผด็จศึก

คำเตือน: มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่องแทบทั้งหมดของภาพยนตร์ Avengers: Endgame รวมถึงภาพยนตร์ใน Marvel Cinematic Universe (Spoil) แต่ไม่ได้เน้นไปที่การเล่าเรื่องนะครับ ดังนั้นผมขอแนะนำให้ดูหนังก่อนอ่านครับ ทั้งนี้ผมได้ลงรีวิวแบบไม่สปอยล์ไว้ที่นี่นะครับ >> รีวิว Avengers: Endgame (ไม่สปอยล์)

1.ความสิ้นหวังของเหล่าฮีโร่

Iron Man ที่รู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของ Thanos และถอดใจ รวมถึงทะเลาะกับ Captain America เพราะนิมิตที่เขาเห็นมันเป็นจริง แต่การสร้างกองทัพหุ่นยนต์นั้นถูกคัดค้าน และเป็นต้นเหตุแห่งการทะเลาะกันนั่นเอง จุดนี้ผมมองว่ามันเติมเต็ม Infinity Saga ได้สมบูรณ์แบบมากๆ

เนื่องจากอัลตรอนเกิดขึ้นจากความหวังดี แต่ทำให้ผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตไปหลายคน เป็นตราบาปของโทนี่ ในขณะเดียวกัน พอไม่มีกองทัพหุ่นยนต์ที่ทรงพลังทั้งจำนวนและความฉลาดแบบอัลตรอน โลกก็แพ้ Thanos ย่อยยับ จนประชากรหายไปครึ่งนึง และโทนี่ในตอนนั้นคงรู้สึกว่าพอแล้ว จึงไม่ได้ตามทีม Avengers ที่ออกไปล้างแค้น Thanos เพราะรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ (เพิ่งแพ้กลับมาหมาดๆ)

Thor แม้จะฆ่า Thanos ที่บาดเจ็บได้ แต่แก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว สอดคล้องกับประโยคของโทนี่ ที่พูดกับกัปตันอเมริกาว่า

“เพราะพวกเราคือ Avengers ที่จะล้างแค้น ไม่ใช่ Prevengers ที่คิดจะป้องกันเหตุร้ายก่อนที่มันจะเกิด”

เหตุการณ์นี้ทำให้ Thor ถึงกับเสียผู้เสียคน และกลับมาในสภาพถังเบียร์เลยทีเดียว แถม Thanos ยังกลายเป็นคำต้องห้ามของ Thor อีกด้วย

ในส่วนของ Captain America ที่พยายามก้าวผ่านความเจ็บปวด และพูดคุยกับผู้คนที่สูญเสีย แต่ลึกๆแล้วก็ยังคงเสาะหาวิธีที่จะแก้ไขสิ่งที่ Thanos ทำไว้ เมื่อ Ant Man กลับมาได้ ถึงได้ย้อนกลับไปคุยกับ Iron Man อีกครั้ง

สำหรับ Hulk และ Bruce Banner ต่างก็แพ้ Thanos แบบหมดรูปทั้งคู่ ทำให้เกิดการรวมตัวกันเป็นตัวตนใหม่ แม้ในแง่นึงจะเหมือนพัฒนาตัวตนขึ้น แต่อีกมุมหนึ่งก็เหมือนการละทิ้งตัวตนแบบเดิมไปเลย ผมไม่แน่ใจว่าจะถือเป็นการละทิ้งตัวตนเพราะไม่ยอมรับความจริง หรือ ความพ่ายแพ้ได้รึเปล่า แต่ยังไงก็รู้สึกชอบที่ได้เห็นรูปแบบของ Dr.Hulk ในหนังนะครับ

Hawkeye อาจจะเพราะผิดหวังที่คนดีๆหลายคนตายไป รวมทั้งสูญเสียครอบครัวไปทั้งหมด แต่คนชั่วยังคงอยู่ จึงทำให้เขาออกมาเป็นศาลเตี้ยและเข่นฆ่าอาชญากรไปเป็นจำนวนมาก

Black Widow หรือ นาตาชา ผู้ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว เพื่อน ๆ Avengers ของเธอแตกสลายไปคนละทิศ คนละทาง ยิ่งกว่าตอน Civil War เสียอีก เธอจึงทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานดูแลความสงบเรียบร้อย จะว่าไปก็เหมือนมาทำหน้าที่แทนนิค ฟิวรี่ ซึ่งก็ทำให้เธอรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Hawkeye และรู้สึกแย่กับความเปลี่ยนแปลงของ Hawkeye มากๆเช่นกัน

ในบรรดา Avengers ยุคบุกเบิก 6 คน โทนี่ดูจะเป็นคนเดียวที่ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขที่สุด กับเป๊ปเปอร์ และมีลูกด้วยกันหนึ่งคน แต่ก็เป็นคนเดียวทีผมรู้สึกว่าเก็บความรู้สึกทุกข์ไว้กับตัวมานานที่สุด โดยไม่แสดงออกมากแบบคนอื่นๆ

การย้ายไปอยู่ในบ้านกลางป่า ปลีกวิเวกจากผู้คน เหมือนเป็นการชดเชยให้กับเป๊ปเปอร์มากกว่า เพราะที่ผ่านมาเขามักจะทุ่มเทเวลาเพื่อจะปราบภัยคุกคามอย่าง Thanos แต่สุดท้ายแล้วกลับทำให้ Thanos ได้แผลมาแค่แผลเดียว เรียกว่าพ่ายแพ้อย่างหมดรูป และยังเสีย Peter Parker ที่เป็นเหมือนลูกชาย และเป็นคนที่เขาตั้งความหวังจะให้ไปได้ไกลกว่าตัวเขาไปด้วย จึงไม่แปลกที่เขาอาจจะหันกลับมามองความโชคดีของตัวเองและใช้ชีวิตอย่างสามัญชนธรรมดา

แม้ที่เล่ามาทั้งหมดจะเป็นเพียงองค์แรกของหนังที่เดินเรื่องเอื่อยๆ แต่เป็นการแสดงให้เห็นความมืดมิดในใจของเหล่า Avengers ถึงขีดสุดเลยทีเดียว

2.ภารกิจจากประกายแห่งความหวังอันริบหรี่

การกลับมาของ Antman ทำให้มีความหวังในกระบวนการย้อนเวลา ที่สุดท้ายแล้วเหล่าฮีโร่จะต้องเสี่ยงย้อนกลับไปยังอดีต เพื่อดึงอัญมณีกลับมายังโลกปัจจุบัน ทำให้เห็นว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา เหล่าฮีโร่ได้เปลี่ยนไปขนาดไหน

Thor ได้สูญเสียความมั่นใจไปหมดสิ้น แม้ว่าใน Infinity War จะถือได้ว่าเป็นช่วงที่ Thor มีความสามารถเก่งที่สุดในทุกภาคแล้ว แต่เมื่อ Thor พลาด และสิ้นหวัง นอกจากหุ่นพังๆของ Thor แล้ว แม้แต่ความมั่นใจจะเจอหน้ากับเจน ตอนย้อนเวลากลับไปก็ยังไม่มีเช่นกัน ยังไงก็ตามหนังยังให้ Thor ได้รับกำลังใจจากแม่ที่จากไป และได้เคลียร์ปมในใจออกไปบางส่วน

สตีฟ และ โทนี่ ได้กลับไปพบกับบุคคลที่จากไปแล้วของทั้งคู่ นั่นคือ เพ็กกี้ คาร์เตอร์ และ โฮเวิร์ด สตาร์ค นั่นทำให้สตีฟได้มีความหวั่นไหวอีกครั้ง เมื่อเห็นเพ็กกี้อยู่ตรงหน้า ในขณะที่กำลังทำภารกิจกู้โลก ในขณะที่สตาร์ค เหมือนแทบจะเคลียร์ปมในใจทั้งหมด ระหว่างเขากับพ่อของเขา เกี่ยวกับความสัมพันธ์และความรักระหว่างพ่อ-ลูก แบบตัวเป็นๆ แม้จะเป็นการเคลียร์ฝ่ายเดียวก็ตาม เพราะโฮเวิร์ดไม่รู้เรื่อง

สำหรับในพาร์ทนี้อีกฉากนึงที่ผมชอบมากๆคือฉากในลิฟท์ของสตีฟกับเหล่าไฮดร้าที่ยังเนียนอยู่ชีลด์ ซึ่งนอกจากจะมีความคล้ายกับภาค Winter Soldier แล้ว ยังมีการใช้คำว่า Hail Hydra อีก ซึ่งส่วนนึงประโยคนี้มาจากในการ์ตูนด้วย (เคยเป็นดราม่าใหญ่โตมาก ที่มีการแต่งให้กัปตันพูดคำนี้) แต่ในบริบทนี้เป็นการพูดเพื่อเลี่ยงการปะทะ เพราะเมื่อเจอศัตรูที่ร้ายกาจกว่าอย่าง Thanos เรื่องราวของ Hydra แทบจะเป็นเรื่องเด็ก ๆ ไปเลย กัปตันควรปล่อยผ่าน และโฟกัสกับเป้าหมายหลัก ในการนำทุกคนกลับมามากกว่า

ในส่วนที่ดราม่าที่สุดขององค์ที่สองนั้น คงเป็นพาร์ทของ Hawkeye (คลินท์) และ Black Widow (นาตาชา) ที่ต่างฝ่ายต่างแย่งกันเสียสละเพื่อให้อีกคนรอดกลับไปพร้อมกับ Soul Stone พาร์ทนี้เป็นพาร์ทแรกที่ผมเสียน้ำตาให้กับหนังเรื่องนี้ ซึ่งผมไม่ได้เศร้าที่ความตายของนาตาชาเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นเพราะเหตุผลที่ทั้งสองให้ไว้ก่อนแย่งชิงกันเสียชีวิต

เนื่องจากคลินท์นั้นมองว่าตนได้ฆ่าคนไปมากมาย ไม่ใช่คนดีอีกต่อไปแล้ว และเหมือนเปรียบเทียบว่านาตาชายังเป็นคนดีกว่า ทำประโยชน์ให้ส่วนรวมมาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา แต่ในมุมของนาตาชา ผมมองว่าเธอได้ใจสลายไปแล้วในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ภารกิจนี้เธอเป็นคนที่พร้อมจะแลกทุกอย่างเพื่อนำประชากรอีกครึ่งจักรวาลกลับมา จิตใจของเธอได้สูญสลายไปพร้อมกันตอนที่ Thanos ดีดนิ้ว และพบว่าเพื่อนๆของเธอได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

โดยเฉพาะเพื่อนรักอย่างคลินท์ที่กลายเป็นคนเลือดเย็น สังหารหมู่อาชญากรด้วย ลึกๆแล้วผมเชื่อว่าที่เธอเลือกจะพลีชีพ ไม่ใช่เพียงเพราะเธอเป็นคนที่อยู่ตัวคนเดียวเพียงอย่างเดียว แต่เพราะเธอเชื่อมั่นว่า ถ้าภารกิจสำเร็จ อะไรๆคงจะกลับมาดีเหมือนเดิม รวมทั้งคลินท์คนเดิมจะได้กลับคืนมา แม้เธอจะไม่อยู่แล้วก็ตาม (และคลินท์ก็ยังมีโอกาสได้พบครอบครัวอีกครั้ง) ฉากนี้เป็นฉากที่ผมสัมผัสถึงความใจสลายของทั้งสองคนหลังเหตุการณ์ดีดนิ้วได้ชัดเจนมากจริงๆ

3.ศึกสุดท้ายของเหล่าฮีโร่ และจุดสิ้นสุดของตัวละคร

การต่อสู้ของฮีโร่เกิดขึ้นเมื่อ Thanos ในอดีตก็มีอุดมการณ์เดียวกันกับ Thanos ที่ตายไปแล้ว แต่ยังทำภารกิจไม่สำเร็จ ซึ่งความมุ่งมั่นของเขาแรงกล้าอย่างยิ่ง ตัวตนที่ตายไป เป็นคนที่ทำภารกิจสำเร็จแล้วหลังจากดีดนิ้วไปสองครั้ง และไม่รู้สึกเสียดายที่จะตาย แต่ Thanos ในอดีตคือคนที่ไขว่คว้าหามณีเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ดังนั้นเขาจึงเป็นตัวตนที่โหดเหี้ยมกว่าตอนต้นเรื่อง และเกรี้ยวกราดกับความไม่สำนึกของเหล่าฮีโร่ที่ไม่เข้าใจความหวังดีต่อจักรวาลของเขานั่นเอง

ซึ่ง Thanos คนนี้ก็ไม่ได้หันกลับไปมองผลลัพธ์ของการกระทำว่าหลังดีดนิ้วว่า โลกก็ยังย่อยยับในแบบของมัน คือ ผู้คนหมดหวัง ไร้ความสุข อาชญากรก็ยังมี แต่คนดีๆกลายเป็นฝุ่นไปไม่น้อย …ซึ่งอันนี้ผมคิดว่า Thanos มองคนละสเกล เพราะ Thanos ไม่ได้มองเรื่องคนดีหรือชั่ว แต่มองเรื่องสมดุลประชากร ซึ่งเป็นเรื่องที่อาจจะใหญ่กว่าความดีหรือความชั่ว

แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง อาจจะมองได้ว่า Thanos คิดอย่างเผด็จการ และมองเผ่าพันธุ์อื่นๆเป็นเพียงมดปลวกที่กำจัดทิ้งได้เท่านั้น ไม่ได้มองถึงความสุขของคนที่โดน Thanos ลิขิตให้เป็นแบบใดๆ ดังนั้นเขาถึงได้พูดว่า เมื่อไม่สำนึก ก็จะล้างทิ้งอีกรอบ และไม่ให้รับรู้ถึงการดีดนิ้วด้วย ซึ่งก็ไม่ต่างกับการพยายามปกปิดข้อมูลของผู้นำที่เป็นเผด็จการแต่อย่างใด

การต่อสู้ดำเนินไปอย่างลุ้นระทึก แต่แม้แต่ Captain Marvel ที่ว่าเก่งๆ ก็ไม่ได้สามารถคว่ำ Thanos สภาพสมบูรณ์ได้โดยง่าย ส่วน Thor นั้นกลายเป็นฮีโร่ตัวอ้วนฉุ และไม่เก่งกาจเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว ซึ่งนั่นทำให้เหล่าฮีโร่เสียเปรียบค่อนข้างมาก โล่ของกัปตันอเมริกายังแตก ถึงแม้จะได้ใช้ค้อนให้แฟนๆได้กรีดร้องกันสุดเสียง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ได้เปรียบ Thanos มากนัก ซึ่งสุดท้ายแล้ว Dr.Strange ก็ส่งซิกให้กับโทนี่ถึงความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวในการเอาชนะที่เขาเห็นจาก 14 ล้านวิธี

“I’m Iron Man” เป็นประโยคสุดท้ายที่โทนี่พูดใน Iron Man ภาคแรก ซึ่งทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างของจักรวาล MCU เดินเรื่องมาถึงตอนนี้ (ทั้งในบทหนังที่เชื้อเชิญนิค ฟิวรี่มา ทำให้มี Avengers และในโลกแห่งความจริง ที่ทำให้มีการสร้างหนังเรื่องอื่นๆของ Marvel Studios ตามมาเช่นกัน)

ประโยคนี้กลายมาเป็นประโยคสุดท้ายก่อนการตัดสินใจเสียสละตัวเองของโทนี่ ซึ่งทำให้ Thanos กลายเป็นฝุ่นเหมือนกับที่ Thanos ทำกับประชากรครึ่งหนึ่งของจักรวาล ซึ่งก็เป็นฉากที่สะเทือนใจใครหลายๆคน กับการสูญเสียฮีโร่ผู้ปราดเปรื่องและเป็นฮีโร่ที่เปิดจักรวาล MCU คนนี้

นี่คือฉากที่สองที่ผมเสียน้ำตาให้หนังเรื่องนี้อีกครั้ง มันสะเทือนใจนะ ที่โทนี่อุตส่าห์มีชีวิตที่ดี มีครอบครัวที่สมบูรณ์ และแม้ลูกของโทนี่จะเป็นตัวละครใหม่ หนังก็ไม่ลืมที่จะทำให้เรารู้ว่าโทนี่ ห่วงลูกแค่ไหน เพราะแม้แต่รายละเอียดการดีดนิ้วของ Hulk โทนี่ยังย้ำว่าให้ต้องให้คงผล 5 ปีที่ผ่านมาไว้เหมือนเดิม (ไม่งั้นลูกอาจจะหายไป)

ท้ายที่สุดแล้วโทนี่กลับกลายเป็นคนที่ต้องเสียสละตัวเอง หลังจากที่สามารถทำให้ทุกคนกลับมาพร้อมหน้าได้อีกครั้ง ครอบครัว Stark กลายเป็นครอบครัวเดียวที่ต้องสูญเสียโทนี่ไป เพื่อแลกกับคนครึ่งจักรวาลปลอดภัยจากการดีดนิ้วของ Thanos อีกครั้ง ซึ่งผมเชื่อว่าลึกๆแล้วโทนี่ก็อาจจะรู้อยู่แล้วว่าเขาคือทางออกเพียงหนึ่งเดียว เพราะ Dr.Strange เอง ก็เป็นคนขอแลกชีวิตของโทนี่มาจาก Thanos ด้วยการให้มณีแห่งเวลาไป

นอกจากโทนี่แล้ว หลังจากจบศึกกับ Thanos หนังก็พาเราไปพบกับฉากจบที่สมบูรณ์ของกัปตันอเมริกาอีกคน แม้หลายๆคนอาจจะเสียดายกับการเลิกเป็นฮีโร่ของกัปตัน แต่ผมมองว่านี่คือฉากจบที่ดีที่สุดอีกฉากนึงของกัปตัน หลังจากหนังทุกเรื่องฉายมา เพราะหนังได้พาสตีฟ โรเจอร์ส กลับบ้านของเขาสักที

ตั้งแต่ภาคแรกเขาคือฮีโร่ผู้เสียสละตัวเองเพื่อปราบ Red Skrull และต้องจากโลกของเขาอย่างไม่มีวันกลับ เพราะเขาถูกขโมยเวลาไปถึง 70 ปี จากการถูกแช่แข็ง และนั่นทำให้คนที่อยู่รอบตัวเขาในอดีต ได้เสียชีวิตไปแล้วแทบจะทั้งหมด เหลือเพียงเพ็กกี้ในวัยชรา (ซึ่งสุดท้ายก็ได้ตายจากไปแล้วในภาค Captain America: Civil War) และบัคกี้ เพื่อนรักของเขาเท่านั้น (ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ถูกจับแช่แข็งอยู่พักนึง และถูกดีดนิ้วหายไป 5 ปี)

เรียกได้ว่าสตีฟ เป็นอีกคนนึงที่เหมือนจากบ้านไปนานมากๆ และการย้อนเวลากลับไปใช้ชีวิตในอดีต ไม่ว่าจะเป็นโลกเดียวกัน หรือโลกคู่ขนาน ก็ถือว่าเขาได้ใช้ชีวิตของเขา ในโลกที่เป็นเหมือนบ้านของเขานั่นเอง ฉากจบนี้เป็นฉากจบที่ผมชอบมากๆฉากนึง แม้ตอนแรกจะแอบมองว่าเป็น Plot Hole รึเปล่า เพราะนึกว่าสตีฟย้อนเวลาไปแล้วกลับมานั่งที่เดิม แล้วยังมามอบโล่ให้ Falcon ที่อยู่บน Timeline นี้อีก (ซึ่งโล่ก็แตกไปตอนสู้กับ Thanos แล้วด้วยนะ) ซึ่งดูจะต่างจากกรณีไปขโมย Gem แล้วไม่มีผลกระทบกับ Timeline นี้

แต่สุดท้ายแล้ว มันก็อาจจะมีคำอธิบายดีๆแบบอื่นได้ คือ สตีฟในทุกๆไทม์ไลน์ อาจจะได้โอกาสกลับไปใช้ชีวิตในไทม์ไลน์คู่ขนานก็เป็นได้ (คนที่เห็น มาจากไทม์ไลน์อื่น) ซึ่งผู้กำกับก็เพิ่งออกมาเปิดเผยว่าจริงๆพลอตตรงนี้ไม่ได้พลาด ซึ่งส่วนตัวแล้ว ผมมองว่าไม่ว่าจะเป็นสูตรไหนจากที่ผมคิดได้ทั้งหมด มันก็สมบูรณ์แบบสำหรับฮีโร่คนนี้ เพราะสตีฟได้ใช้ชีวิตของตัวเองในแบบที่ควรจะเป็นเสียที และถ้าเขากลับมาในฐานะกัปตันอเมริกาอีก เขาจะเหลือเพื่อนคือบัคกี้ และฟอลคอนเท่านั้น (นาตาชาก็ตายแล้ว) ทั้งๆที่เขาโหยหาอดีตตลอดเวลา…แต่ ณ จุดนี้ ผมก็แอบสงสารบัคกี้นะ เหลือตัวคนเดียวที่เป็นคนจากอดีต

อนาคตของ Thor ผู้ขอใช้ชีวิตและหยุดแบกรับภาระของอาณาจักร ผมเชื่อว่าการเกษียณของ Thor เองก็น่าสนใจ เพราะแม้จะดูเหมือนว่าเขาอาจจะมีบทบาทใน Guardians of the Galaxy ได้ แต่ก็ถือได้ว่าเขาได้พักจากการเป็นผู้ปกครองของแอสการ์ด และความรับผิดชอบที่ต้องพิทักษ์โลกทั้ง 9 ใบนั่นเอง ที่จริงประเด็นของ Thor ผมมองว่ามันค่อนข้างชัดมาก คือเขาเติบโตมาเป็นเจ้าชาย เป็นรัชทายาท ต่อมาได้เป็นกษัตริย์

ซึ่งในช่วง Thor ภาคแรก จนถึง Avengers: Age of Ultron เขาไม่ค่อยพลาด จะเรียกว่าชนะมาตลอดก็ได้ (คือถึงจะแพ้ แต่สุดท้ายก็จะพลิกกลับมาชนะ) แต่ใน Thor: Ragnarok เขาพ่ายแพ้แก่พี่สาว และแม้จะชนะจากการใช้ Surtur (ปีศาจไฟที่ออกมาถล่มแอสการ์ดตอนจบ) แล้วหลบหนีออกมาได้ แต่ก็สูญเสียบ้านเกิดไป ถึงจะบอกว่า “แอสการ์ดคือผู้คน ไม่ใช่สถานที่” ก็เถอะ แต่ต่อมาเขาได้พ่ายแพ้กับ Thanos และสูญเสีย Loki กับชาวแอสการ์ดไป (รวมถึงยานอวกาศที่เป็นที่มั่นสุดท้ายด้วย)

พอกลับมาแก้มือในช่วงท้ายของ Infinity War ก็ต้องถือว่าเขามีฝีมือที่เอาชนะ Thanos ได้ แต่เพราะ Thanos ดีดนิ้วได้ก่อน จักรวาลเลยต้องสูญไปครึ่งนึง แถมในภาค Endgame นี้ก็พบความจริงอันโหดร้ายที่ว่าเขาไม่สามารถย้อนผลใดๆคืนได้ แม้จะฆ่า Thanos แล้วก็ตาม

เรียกได้ว่าความเก่งกาจของ Thor ไม่ได้ส่งผลให้เขาเป็นผู้ชนะได้เลย นับเป็นการแพ้สงครามกับ Thanos อย่างแท้จริง ผมคิดว่าการสูญเสียความเชื่อมั่นในช่วงหลังๆของ Thor และเหตุการณ์ช่วงต้นเรื่อง ส่งผลให้เขารู้สึกล้มเหลว และเราอาจอนุมานได้ว่าที่ผ่านมาวัลคีรี่เป็นผู้ดูแลนิวแอสการ์ดแทนมาโดยตลอด

เมื่อพลิกกลับมาชนะ Thanos ได้ในช่วงท้าย เขาก็เหมือนได้รับโอกาสให้แก้ตัวอีกครั้ง และเลือกที่จะใช้ชีวิตของตัวเอง ไม่จมอยู่กับความรู้สึกผิดเท่าตอนต้นเรื่อง ยังไงก็ตามเขาก็เสียเพื่อนไปหลายคนจากภารกิจกู้คืนจักรวาลในครั้งนี้ ถ้าบทของ Thor ยังมีภาคต่อใน MCU ก็อาจจะได้เห็นประเด็นนี้ หรือประเด็นที่เขาไม่มั่นใจในความเก่งของตัวเองเท่าแต่ก่อนกัน


สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบถึงบรรทัดนี้นะครับ ยอมรับว่าเป็นบทความที่ยาวมากจริงๆ แต่มันมีหลายประเด็น หลายเรื่องที่เก็บจากหนังมาได้ และอยากเขียนถึงมากมายเหลือเกิน นี่เป็นหนังที่ผมให้ 10/10 ที่ผมคิดว่าปิดจบมหากาพย์ที่ Marvel ปูมาตลอด 11 ปีได้อย่างยิ่งใหญ่มากๆ และคิดว่าคงไม่มีหนังเรื่องไหนที่จะทำสเกลได้ใหญ่ และน่าประทับใจได้มากขนาดนี้ ในเร็ววันนี้ เพราะก่อนจะทำแบบนี้ได้ จะต้องทำหนังมาก่อนหน้านี้ถึง 21 เรื่อง ถึงจะทำหนังที่เก็บรายละเอียดทุกอย่างที่ปูมา มาใช้และจบเนื้อเรื่องได้ได้แบบนี้

Leave a Reply